บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

หลวงตามหาบัวตายแล้วไปอยู่ไหน




ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า ผมชอบหลวงตามหาบัวนะครับ ในแง่ที่ว่า ท่านเป็นพระที่รักชาติ  แต่ความจริงก็ต้องเป็นความจริง  ที่เอามาเขียนไว้ก็เพื่อจะได้เตือนบุคคลที่ยังอยู่

เตือนในแง่อะไร...

เตือนในแง่ที่ว่า ครูบาอาจารย์ที่เราเคารพนับถืออยู่นั้น อาจจะผิดได้นะครับ  คนที่อยู่ใกล้ๆ ควรจะแนะนำ ตักเตือน ยับยั้งไว้บ้าง ถ้าเห็นอะไรไม่ชอบมาพากล

ก่อนที่จะอ่านต่อไป ผมขอย้ำก่อนว่า “อายตนะนิพพาน”, “พระพุทธองค์” และ “จักรพรรดิ” ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ผู้ฝึกวิชาธรรมกายมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดีนะครับ

ตำราของหลวงพ่อวัดปากน้ำเขียนไว้ชัดเจน  ลองไปหาอ่านได้ที่นี่

01-ทางมรรคผล 18 กาย http://wayofnivarana.blogspot.com
02-คู่มือสมภาร http://originalabbothandbook.blogspot.com
03-วิชชามรรคผลพิสดาร http://makphonphitsadan.blogspot.com
04-วิชชามรรคผลพิสดาร ๒ http://Makphonphitsadan2.blogspot.com

ก็ขอฟันธงไปเลยละกันว่า หลวงตามหาบัวนั้น ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แต่ตกนรกนะครับ หนักหนาสาหัสเลยทีเดียว

พวกที่เก่งวิชาธรรมกายตอนทำวิชาไปพบท่าน  ท่านถึงกับร้องขอให้ช่วย ท่านบอกด้วยว่า “ไม่นึกว่าจะเป็นอย่างนี้

สำเหตุกรรมหนักที่ทำให้ท่านตกนรกไปก่อน กล่าวคือ เมื่อหมดกรรมจากนรกแล้ว ท่านขึ้นสวรรค์แน่นอน 

กรรมที่ว่าก็คือ “ปาราชิก” ครับ ข้ออวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน  อ่านข้อมูลของอุตริมนุสธรรมจากวิกิพีเดียกันก่อนเลย

อุตริมนุสธรรม หรือ อุตริมนุษยธรรม แปลว่า ธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ หรือธรรมของมนุษย์ผู้ยวดยิ่ง ได้แก่ คุณวิเศษซึ่งมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถมีหรือเป็นได้ มิใช่วิสัยของมนุษย์ทั่วไป แต่เป็นวิสัยของผู้บรรลุธรรมขั้นสูงแล้ว ซึ่งก็คือ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ มรรค และผล

การที่ภิกษุแสดงตนหรือพูดให้ผู้อื่นเข้าใจว่า ตนได้ฌานชั้นนั้นชั้นนี้ ตนได้บรรลุวิโมกข์ ได้สมาธิ สมารถเข้าสมาบัติได้ หรือสำเร็จมรรคสำเร็จผลอย่างนั้นอย่างนี้ เรียกว่า อวดอุตริมนุสธรรม หรืออวดอุตริมนุษยธรรม

ปัจจุบัน ถ้อยคำดังกล่าวใช้เรียกผู้ชอบอวดอ้างตนเหนือกว่าคนอื่นหรือทำอะไรที่แผลง ๆ ที่คนทั่วไปไม่ทำกัน ว่า "อวดอุตริ" หรือ "อุตริ" เฉย ๆ

สรุปก็คือ หลวงตามหาบัวท่านเข้าใจผิด คิดว่าท่านบรรลุพระอรหันต์แล้ว  เมื่อได้พูดออกไป ท่านจึงปาราชิกทันที

การปราชิกนี่ ไม่ได้มีโทษหนักหนาสาหัส ถึงกับทำให้ตกนรกนะครับ 

กล่าวคือ ปาราชิกเป็นอาบัติหนัก จนหลุดจากความเป็นพระ  ถ้ารู้ตัว ก็ออกมาเป็นฆราวาส   ทำบุญทำทานให้ดี ก็สามารถขึ้นสวรรค์ได้ 

ที่นี้ หลวงตามหาบัวท่านไม่รู้ว่า ท่านปาราชิกไปแล้ว จึงครองผ้าเหลืองต่อมา  ที่นี้แหละ เป็นกรรมหนักหนาสาหัส

พูดให้ชัดๆ ก็คือ ท่านไม่ใช่พระ แต่ทำตัวเป็นพระ กรรมหนักจึงเกิดขึ้น

ประเด็นที่จะชี้ให้เห็น ณ ที่นี้ก็คือ ทำไมหลวงตามหาบัวจึงเข้าใจผิดว่า ท่านบรรลุพระอรหันต์แล้ว

หลักการทั่วไป....

พระภิกษุที่สร้างบารมีอยู่นั้น  มารมันมองตาเป็นมันเลยทีเดียว  เพราะ ถ้ามันทำให้พระรูปดังกล่าว ทำความผิดได้  หลุดจาการบำเพ็ญบารมีได้  มารมันจะได้บารมีมหาศาลเลยทีเดียว

สามารถเอาบารมีของพระดังกล่าว มาเป็นของมารตนนั้นได้

กรณีของหลวงตามหาบัว

หลวงตามหาบัวนั้น เมื่อปฏิบัติธรรมไป มารมันเอา “ความว่าง” ใส่เข้าไป  เป็นว่างเล็กๆ เท่านั้น แต่หลวงตามหาบัวไม่รู้ ไม่เข้าใจ  จึงคิดว่า “ความว่าง” นั้น คือ การที่ท่านบรรลุพระอรหันต์แล้ว

คนที่เคยปฏิบัติธรรมอยู่บ้าง คงเคยตก “ภวังค์” ที่มีอาการว่า เหมือนกับตัวตนหายไป ลักษณะคล้ายอย่างนั้น แต่ “ความว่าง” ของมารนั้น มันประณีตบรรจงกว่านั้น 

สำหรับผู้ที่จะมาโต้แย้งว่า มหาบัวเป็นพระอรหันต์ อยู่ในอายตนะนิพพาน โปรดเอาความรู้ของท่านมายืนยันด้วยว่า ท่านมีความรู้อะไรเป็นหลักฐาน

ไม่ใช่ว่า “เชื่อไปตามคำเล่าลือ”  แล้วมาเถียงคอเป็นเอ็น โปรดดูภาพที่สามด้านบน หลวงตามหาบันท่านเตือนเอาไว้แล้ว






หลวงพ่อคูณตายแล้วไปอยู่ไหน


ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า ผมชอบหลวงพ่อคูณนะครับ  ศรัทธาในด้านการสร้างทานบารมีของท่านมาก เงินที่ได้มาหลวงพ่อคูณนำออกไปสร้างทานบารมีเป็นส่วนใหญ่

ถ้าพระในประเทศไทย เป็นอย่างหลวงพ่อคูณสัก 50 %  ประเทศเราจะเจริญขึ้นกว่านี้มากเลยทีเดียว

ส่วนใหญ่พระของเรา ได้เงินมาแล้วสะสมกัน ไม่บริจาคต่อ คนไทยก็ชอบทำบุญกับวัด ไม่ชอบทำบุญสาธารณะอย่างอื่น  เงินก็ไปกระจุกตัวอยู่กับพระ

โรงเรียนวัดทุ่งพึ่ง ที่จังหวัดอุทัยธานีเป็นตัวอย่างอันดี  ตัวโรงเรียนมีนักเรียนประมาณ 80 คน อาคารเรียนชำรุด หลังคารั่ว  คนทุ่งพึ่งไม่มีใครสนใจบริจาคให้โรงเรียน

แต่วัดทุ่งพึ่ง ใหญ่โต หรูหราอลังการมาก  มีพระอยู่รูปเดียว  คนทุ่งพึ่งก็ยังเอาเงินไปทำบุญกับวัด ไม่ทำทำบุญกับโรงเรียน หรือทำอย่างเสียไม่ได้

โรงเรียนวัดทุ่งพึ่งนี่ ผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นเพื่อนสนิทผม  ท่านก็เป็นคนหมู่บ้านนี้ 

ถ้าพระส่วนใหญ่ของเราทำอย่างหลวงพ่อคูณคือ เป็นตัวกลางให้ประชาชนเพื่อสร้างบารมี คือ พอมีคนมาทำบุญกับท่าน ก็เอาเงินนั้นไปสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล ประเทศชาติมันก็จะดีขึ้น

กลับมาถึงเรื่องหลวงพ่อคูณ ซึ่งโด่งดังมาก ทั้งตอนอยู่ และตอนมรณภาพ  อย่างไรก็ดี ควรจะรู้ประวัติของท่านสักเล็กน้อยก่อน

ข้อมูลเอามาจากหน้าเว็บ  “ประวัติหลวงพ่อคูณ” ของเว็บ http://watbaanrai.com นะครับ

หลวงพ่อคูณ ถือกําเนิดที่บ้านไร่ ม. ๖ ต. กุดพิมาน อ. ด่านขุนทด จ. นครราชสีมา ในครอบครัวของชาวไร่ชาวนา

บิดาชื่อ นายบุญ ฉัตรพลกรัง มารดาชื่อ นางทองขาว ฉัตรพลกรัง เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๖  ตรงกับวันแรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีกุน

สมัยที่หลวงพ่อคูณอยู่ในวัยเยาว์ ๖-๗ ขวบ ได้เข้าเรียนหนังสือ กับพระอาจารย์เชื่อม วิรโธ พระอาจารย์ฉาย และพระอาจารย์หลี ทั้งภาษาไทย และภาษาขอม ที่วัดบ้านไร่

นอกจากเรียนภาษาไทยและขอมแล้ว พระอาจารย์ทั้ง ๓ ยังมีเมตตาอบรมสั่งสอนวิชา คาถาอาคม เพื่อป้องกันอันตรายต่างๆ ให้แก่หลวงพ่อคูณด้วย นับว่าหลวงพ่อคูณรู้วิชาไสยศาสตร์มาแต่เยาว์วัย

ตรงนี้ ขอให้พิจารณาข้อความที่ผมเน้นสีน้ำเงินไว้ให้ดีนะครับ หลวงพ่อคูณท่านเรียนไสยศาสตร์ ต่อมา ท่านจึงเป็นพระประเภทเกจิอาจารย์

หลวงพ่อคูณอุปสมบท เมื่ออายุได้ ๒๑ ปี ณ พัทธสีมาวัดถนนหักใหญ่ ต. กุดพิมาน อ. ด่านขุนทด จ. นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๘๗

หลังจากที่หลวงพ่อคูณอุปสมบทเป็นพระภิกษุเรียบร้อยแล้วท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแดง วัดบ้านหนองโพธิ์ ต. สํานักตะคร้อ อ. ด่านขุนทด จ. นครราชสีมา

หลวงพ่อแดง เป็นพระนักปฏิบัติทางด้านคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ อย่างเคร่งครัด และทั้งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เรืองวิทยาคมเป็นอย่างยิ่ง จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนและลูกศิษย์เป็นอย่างมาก

จะเห็นว่า หลวงพ่อคูณเมื่อบวชแล้ว ก็ยังไปเรียนกับพระเกจิอาจารย์อีก

หลวงพ่อคูณ ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อแดงมานานพอสมควร หลวงพ่อแดงจึงพาหลวงพ่อคูณไปฝากตัวเป็น ลูกศิษย์หลวงพ่อคง พุทธสโร

ซึ่งหลวงพ่อทั้งสองรูปนี้ เป็นเพื่อนกันต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อมีโอกาสได้พบปะ มักแลกเปลี่ยนธรรมะตลอดจนวิชาอาคมแก่กันเสมอ

หลวงพ่อคง พุทธฺสโร เป็นพระอาจารย์ผู้ทรงคุณทั้งทางธรรมและทางไสยเวทย์

เมื่อหลวงพ่อคูณต้องการเรียนวิชาเพิ่มเติม ก็ยังคงเป็นสายวิชาอาคม กับไสยเวทย์นะครับ

ต่อไปเป็นการสัมภาษณ์หลวงพ่อคูณ  คนอื่นๆ เขาสัมภาษณ์กันตอนที่หลวงพ่อคูณยังมีชีวิตอยู่ แต่วิชาธรรมกายเจ๋งกว่านั้น  ตามไปสัมภาษณ์ตอนที่ตายไปแล้วได้

วิธีการก็คือ เดินวิชา 18 กายอนุโลม-ปฏิโลมจนดวงธรรมใส กายธรรมใสดีแล้ว อย่างต่ำๆ ก็ 7 เที่ยว  ต่อไปก็เอากายธรรมพระอรหัตละเอียดของเราไปที่ตีนเขาพระสุเมรุ

หลังจากนั้นก็เรียกชื่อหลวงพ่อคูณมา  ท่านก็จะมา

วิธีการพูดคุยกับคือ เอาใจของเราเข้าไปในกายละเอียดของหลวงพ่อคูณ ฐานที่ 1-2-3 และ 7  ก็จะเห็นดวงธรรมของหลวงพ่อคูณ

เสร็จแล้วก็เอาดวงธรรมซ้อนกัน  เมื่อดวงธรรมซ้อนกันเป็นดวงเดียวแล้ว ก็พูดคุยหรือสัมภาษณ์กันได้

คำถามแรกที่ถามก็คือ ท่านมีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง  หลวงพ่อคูณตอบว่า “จะว่าสุขก็ไม่สุข จะว่าทุกข์ก็ไม่ทุกข์

ตอนนี้ท่านอยู่ ณ ที่แห่งใด หลวงพ่อคูณตอบว่า “สวรรค์ชั้น 3  สวรรค์ชั้น 3 คือ ชั้นยามานะครับ

ต่อไปเป็นการวิเคราะห์ว่า ทำไมหลวงพ่อคูณจึง “สุขก็ไม่สุข ทุกข์ก็ไม่ทุกข์ อยู่ในสวรรค์ชั้น 3

โดยปกติแล้ว พระเกจิอาจารย์ทั้งหลายนั้น ตายไปแล้ว ตกนรกกันเรียบนะครับ เพราะ ไสยศาสตร์นั้น เป็นวิชาของมาร 

การที่หลวงพ่อคูณได้รับเงินทำบุญมา แต่ท่านทำออกไปหมด ด้วยอำนาจของทานบารมีนั้น ท่านจึงได้ขึ้นสวรรค์ชั้น 3

แต่จากการที่ศึกษาไปในทางไสยศาสตร์ อันเป็นวิชาของมาร จิตใจของท่านจึงไม่เป็นสุขนัก แต่ก็ไม่ได้มีทุกข์ในด้านอาหาร

เปรียบเทียบกับสัตว์นรกนั้น  นอกจากจะถูกทรมานด้วยกรรมแล้ว ยังจะไม่มีกินอีกด้วย จึงเป็นกรรมหนักอย่างเดียว

คนที่ไม่เชื่อผม ควรจะทำวิชาไปถามตัวหลวงพ่อคูณก่อนนะครับ  ไม่ใช่ว่า ปฏิบัติธรรมก็ไม่เป็น สวรรค์ก็ไม่เคยขึ้นไปสำรวจ  ยังจะมาเถียงอีก






ตายแล้ว 49 วันไปไหน[02]



วันนี้ หลังจากอ่านไปอ่านมา ไปพบเรื่อง “ตายแล้วไปไหน (49 วัน ชีวิตหลังความตาย)” จากเว็บของวัดหนองม่วง เห็นว่า มีข้อมูลที่สอดคล้องกัน และไม่ค่อยจะเห็นด้วย จึงนำมาวิพากษ์วิจารณ์กันตามระเบียบ

บทความนี้ เป็นบทความที่สอง

ซึ่งก็เป็นเหมือนเคยนะครับ  ตัวอักษรสีน้ำเงินคือบทความที่ผมนำมาวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนตัวอักษรสีดำ คือ คำวิพากษ์วิจารณ์ของผม

เรามาดูปรากฏการณ์ 49 วัน ชีวิตหลังความตาย

ขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่าง ชีวิตหลังความตายก็เริ่มต้นเปิดฉากขึ้น ในโลกที่ผู้ตายต้องเข้าไปเพียงลำพังเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเอาติดตัวจากโลกมนุษย์ได้

เว้นเสียแต่บาปกับบุญเท่านั้น

สำนวนภาษาตรงนี้เข้าท่า  ที่จริงมันก็ไม่เชิงไปตามลำพังเท่าไหร่นัก เพราะ นรกนี่มันแออัดยัดเยียดมาก แน่นไปหมด แต่พวกเขาไม่มีเวลามานั่งคุยสังสรรค์กันเท่านั้น

เจ็ดวันรอบแรก

วิญญาณผู้ตายต้องเดินผ่านดงหมาป่า ซึ่งมีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือขวางทาง

เมื่อวิญญาณบาปไปถึง ก็เกิดหวาดกลัวไม่กล้าเดินต่อไป ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้น ก็กระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัว กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา

ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงดงหมาป่า ก็จะมีหมู่เทวทูตคอยพิทักษ์คุ้มครอง พวกหมาป่าได้แต่นิ่งเฉย ไม่กล้าทำอะไร จึงผ่านไปได้โดยปลอดภัย

ตรงนี้มันจะเริ่มเป็นนิยายมากไปหน่อยแล้ว  คนทำความดีก็ไปสวรรค์เลย ไม่เหมือนในหนังทีวีเรื่องพิภพมัจจุราช ที่ต้องไปตรวจสอบก่อนว่า บาปมากกว่า หรือบุญมากกว่า

เจ็ดวันรอบที่ สอง

เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านประตูผี เจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่าน เมื่อเห็นเป็นวิญญาณบาป ก็จะทุบตีอย่างไม่ปรานี และยังมีพวกเจ้ากรรมนายเวรพากันมาทวงหนี้เวลานั้น

ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงด่านประตูผี จะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดยปลอดภัย

เจ้ากรรมนายเวรไม่มีจริง  เป็นระบบของกรรม เหมือนโลกมนุษย์เหมือนกัน  ไม่คนมาทำร้ายเรา ทุบตีเรา  เราต้องให้ตำรวจไปจัดการ 

ไม่ใช่เราไปทุบตีตอบ  อย่างนั้น เราก็ผิดไปด้วย

ระบบของธาตุธรรมก็เช่นเดียวกัน  ถ้ามีเจ้ากรรมนายเวรจริง ก็ฉิบหายเลย  ตามเกิดตามล้างแค้น หรือไม่ไปเกิด รอล้างแค้น ขัดแย้งกับระบบกรรม

ทำเป็นหนังจีนไปได้  “แค้นหนี้สิบปีแก้แค้นก็ไม่สาย

เจ็ดวันรอบที่ สาม

เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก ถ้าเป็นวิญญาณบาปก็จะถูกโซ่ตรวนไว้ และถูกบังคับนำไปอยู่ตรงหน้าหอกระจกส่องกรรม

ยามมีชีวิตทำชั่วอะไร ภาพก็จะปรากฏขึ้นเองอย่างอัตโนมัติ เสร็จแล้วก็จะถูกคุมตัวไปรับการพิจารณาโทษ ถึงวิญญาณบาปจะเริ่มสำนึกผิด ตอนนี้แต่ก็สายเสียแล้ว

ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึง จะได้รับการต้อนรับ มีเจ้าหน้าที่พาไปท่องเที่ยวนรกขุมต่างๆ และพาไปดูสภาพของบรรดาญาติพี่น้องที่ ทำบาป กำลังรอคอยการพิจารณาตัดสินความผิด

มีกระจกส่องกรรมด้วย... อันนี้ก็ไม่น่าจริง  ตามหลักวิชาธรรมกาย ดวงบุญ ดวงบาปบอกหมดว่าทำอะไรมา และจะไปไหน

ดวงบุญใหญ่กว่า ไปสวรรค์ก่อน แล้วก็ไปอบายภูมิ ดวงบาปใหญ่กว่า ไปอบายภูมิก่อน แล้วไปสวรรค์ ถ้าดวงบุญกับดวงบาปเท่ากัน ไปอบายภูมิก่อน เพราะ ดวงบาปแรงกว่าดวงบุญ

เจ็ดวันรอบที่ สี่

เมื่อมาถึงด่านภูเขากระดาษเงินกระดาษทอง การจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ยากลำบากมาก กระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูกหลานญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์หลงงมงายเผาส่งไปให้

ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์

สงสัยคนเขียนมีเชื้อจีน มีการเผากระดาษเงิน กระดาษทองด้วย

เจ็ดวันรอบที่ ห้า

วิญญาณผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเดิม ได้เห็นลูกหลาน คนในครอบครัวต่างไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับการตายของตน

ถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้านได้อีก ได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์

แหม.. ทำแบบทัวร์เลย  มีการกลับมาดูบ้านเดิมได้อีก

เจ็ดวันรอบที่ หก

เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านคุมบัญชี ยมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูบาปบุญที่ผู้ตายได้สร้างสมตอนมีชีวิต

หลังจากหักลบกันแล้ว ถ้าบุญมีมากกว่าบาปก็จะให้ไปเกิดยังสุคติภูมิ ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา

ยมบาลนั้นมีจริง แต่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษา  ดวงบาปกำหนดเลยว่า จะไปขุมไหน อย่างไร ยมบาลมีหน้าที่คุมเครื่องลงทัณฑ์

เจ็ดวันรอบที่ เจ็ด

เมื่อวิญญาณผู้ตายไปถึงด่านตรวจสอบ ยมบาลก็จะสั่งเลขาให้ตรวจสอบดูว่า ผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือไม่

ถ้าได้ถือศีลกิเจ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ก็จักลหุโทษ ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัว

เจ็ดวันรอบที่เจ็ดนี่ มั่วแล้ว  จะมีด่านตรวจสอบอะไรกันหนักกันหนา

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชีวิตอยู่นั้น เร่งสะสมความดีกันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้น ไม่ใช่สิ่งลวงโลก

ตอนนี้ท่านอาจยังไม่เห็น แต่สักวันท่านก็ต้องเห็น กฎแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องจริง ขอให้ทุกคนโชคดี

ข้อความสุดท้ายนี้ “จริงๆ” จ้า..........นะจ๊ะ.......(เสียดสีธัมมชโยเล็กน้อย)