ผู้อ่านบางท่านเห็นผมตั้งชื่อบทความไว้ว่า
“พระมหาบุญไทย ปุญญมโน” อาจจะคิดว่า
พระมหาบุญไทยตายไปแล้ว
และผมจะเขียนว่าพระมหาบุญไทยตายแล้ว
วิญญาณของท่านไปไหน
โปรดอย่าไปคิดอย่างนั้น ผมไม่รู้ว่ามหาบุญไทยยังอยู่หรือตายไปแล้ว
เพียงแต่ไปอ่านบทความเรื่อง “ตายแล้ววิญญาณไปไหน” ใน "ไซเบอร์วนาราม.เน็ต
เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรม" เลยอยากจะวิพากษ์วิจารณ์ข้อเขียนของท่านเท่านั้น
ที่ต้องมาวิพากษ์วิจารณ์ข้อเขียนของพระมหาบุญไทย
ปุญญมโนก็เป็นเพราะว่า บทความของพระมหาบุญไทยชี้ให้เห็นเกี่ยวกับความเชื่อ ตลอดจนการตอบปัญหาเกี่ยวกับความเชื่อนรก-สวรรค์ที่
"ยอมรับไม่ได้"
คำว่า
“ยอมรับไม่ได้ คือ ผมยอมรับไม่ได้” คนอื่นๆ เขาอาจจะยอมรับกันได้ก็ได้ เมื่อผมยอมรับไม่ได้ก็ต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์เสียหน่อย
พอหอมปากหอมคอ
ผมขอยกตัวอย่างบทความดังกล่าวสั้น
ๆ แล้วจะวิพากษ์วิจารณ์ในลำดับต่อไป
พระมหาบุญไทย
เริ่มต้นบทนำไว้ ดังนี้
ปัจจุบันคติความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ก็ยังมีคนลังเลสงสัย
ปัญหาหนึ่งที่คนมักจะชอบถามมากที่สุดคือคนตายแล้ววิญญาณไปไหน
พระภิกษุแต่ละรูปก็ตอบไปตามความรู้ความเข้าใจเท่าที่ได้ศึกษามาจากตำรา
บางรูปพาลโกรธคนถามเสียอีก
บางรูปไม่สนใจตอบเดินหนีไปดื้อๆ ก็มี
ตราบใดที่ยังมีพระพุทธศาสนาปัญหานี้ก็ต้องถูกถามอยู่ร่ำไป
|
ในส่วนของเนื้อหานั้น
พระมหาบุญไทยได้ยกตัวอย่างมาจากพระสูตรในทีฆนิกายมหาวรรค คือ ปายาสิราชัญญสูตร (10/301-330/234-260) และการตอบปัญหาของหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง
ในปายาสิราชัญญสูตร
พระมหาบุญไทยได้ยกตัวอย่างจากคำถามของพระเจ้าปายาสิและคำตอบของพระกุมารกัสสปะ
พระเจ้าปายาสิตรัสถามพระกุมารกัสสปะว่า
ท่านสั่งญาติที่ทำความชั่วว่า ถ้าตายไปแล้ว และตกนรกขอให้กลับมาบอก
ไม่มีใครกลับมาบอกเลย
แม้แต่สักคนเดียว พระเจ้าปายาสิจึงไม่เชื่อว่ามีนรก
พระกุมารกัสสปะตอบพระเจ้าปายาสิว่า
พวกที่ทำความชั่วไม่ได้รับอนุญาตจากยมบาลให้มาตอบคำถามของพระเจ้าปายาสิ
พระเจ้าปายาสิตรัสถามพระกุมารกัสสปะอีกว่า
ท่านสั่งญาติที่ทำความดีว่า ถ้าตายไปแล้ว และขึ้นสวรรค์ขอให้กลับมาบอก
ไม่มีใครกลับมาบอกเลย
แม้แต่สักคนเดียว พระเจ้าปายาสิจึงไม่เชื่อว่ามีสวรรค์ พระองค์จึงไม่เชื่อว่ามีโลกอื่น คือ
นรก-สวรรค์ไม่มี คนตายแล้วสูญ
พระกุมารกัสสปะตอบพระเจ้าปายาสิเป็น
2 ประเด็นคือ ประเด็นแรกพวกเทวดาเห็นว่า มนุษย์เป็นผู้ไม่สะอาดมีกลิ่นเหม็น
ขณะนั้นกำลังเสวยสุข
ประเด็นที่สอง
เวลา 1 วันของชั้นจาตุมมหาราชิกาเท่ากับหนึ่งร้อยปีในโลก พอคิดได้จะกลับมาบอก
พวกญาติก็ตายหมดแล้ว
ในส่วนที่เกี่ยวกับหลวงพ่อชา
ขอยกมาทั้งหมด ดังนี้
พระเถระที่ตอบปัญหาเรื่องนี้ได้ยอดเยี่ยมอีกรูปหนึ่งคือ
หลวงพ่อชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง อุบลราชธานี
เมื่อมีคนถามว่า
“ชาติหน้ามีจริงหรือไม่” หลวงพ่อจะย้อนถามว่า
“ถ้าบอกแล้วจะเชื่อไหมละ”
เมื่อคนถามตอบว่า
“เชื่อครับ” หลวงพ่อก็จะตอบกลับไปว่า “ถ้าเชื่อโยมก็โง่”
อ่านแล้วงงไหม
หลวงพ่อขยายความให้กระจ่างว่า
“เรื่องแบบนี้ไม่มีหลักฐานจะนำมาพิสูจน์ให้เห็นได้
คนส่วนใหญ่จึงต้องเชื่อตามเขาว่า ไม่ได้รู้ชัดด้วยปัญญาของตนเอง
โยมก็โง่อยู่ร่ำไป”
ครั้งหนึ่งที่ประเทศอังกฤษคำถามอย่าเดียวกันก็ย้อนกลับมาหาหลวงพ่ออีก
โยมสตรีชาวอังกฤษเข้ามาถามหลวงพ่อว่า “คนตายแล้วไปไหน”
หลวงมองหน้านิดหนึ่งแล้วก้มลงเป่าเทียนที่กำลังสว่างไสวอยู่ตรงหน้า
เปลวไฟดับทันทีเหลือแต่ควันที่กำลังลอยอ้อยอิ่ง
พลันหลวงพ่อยิ้มที่มุมปากเอ่ยถามแหม่มคนนั้นว่า
“เทียนดับแล้วไปไหน” แหม่มงุนงงหาคำตอบไม่ทันจึงได้แต่นั่งนิ่ง
หลวงพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
“พอใจคำตอบหรือยัง” แหม่มจึงได้สติตอบอย่างเสียงกระด้างว่า
“ไม่พอใจ”
หลวงพ่อปิดการสนทนาด้วยประโยคที่คนฟังต้องหนาวสะท้านถึงขั้วหัวใจว่า
“เราก็ไม่พอใจคำถามของเธอเหมือนกัน”
ต่อมาที่ประเทศอังกฤษก็ได้มีวัดไทยเกิดขึ้น
นัยว่าเป็นวัดไทยในยุคแรกที่เกิดขึ้นยุโรป ทั้งๆที่ตอนนั้นหลวงพ่อชา สุภัทโท
พูดภาษาอังกฤษได้เพียงสามคำ
|
เมื่อผมอ่านจบแล้ว
ผมก็ยังไม่รู้ว่า
“ตายแล้ววิญญาณไปไหน?”
อ่านแล้วก็ไม่ได้มีความรู้เพิ่มเติมมาประดับสติปัญญาแม้แต่เพียงน้อยนิด
ผมเชื่อว่าผู้อ่านก็ไม่ได้เกิดความเข้าใจในเรื่องนรก-สวรรค์แต่ประการใด
ได้แค่เสียเวลาอ่านบทความของพุทธวิชาการฝ่ายพระสงฆ์ไปอีกบทความหนึ่งเท่านั้น
เป็นอันที่น่าสงสัยจริงๆ
ว่า
พระมหาบุญไทยเอง ท่านเชื่อว่า นรก-สวรรค์มีจริงๆ หรือเปล่า
การนำคำพูดของหลวงพ่อชามาเป็นตัวอย่างนั้น
พระมหาบุญไทยพยายามบอกใบ้ผู้อ่านว่า คนที่เชื่อว่านรก-สวรรค์มีจริงเป็นคนโง่
และท่านไม่ค่อยพอใจที่คนมาถามท่านในเรื่องเหล่านี้หรือ..
ถ้าใช้มาตรฐานของผมเป็นคนตัดสินบทความนี้ ผมขอบอกเลยว่า “ไม่เขียนเสียดีกว่า” เสียเวลาโดยสิ้นเชิงทั้งคนอ่านและคนเขียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น